เทคนิคการปลูก และดูแล ข้าวสาลี
เทคนิคการปลูก และดูแล ข้าวสาลี
ข้าวสาลี เป็นธัญพืชเมืองหนาวชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องนำเข้าปีละเป็นจำนวนมาก เช่น ในปี พ.ศ. 2532 ไทยได้นำเข้าแป้งข้าวสาลีทั้งสิ้น 334,621 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 1,748 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ การส่งเสริมเพิ่มผลผลิตข้าวสาลี โดยกรมส่งเสริมการเกษตรกับบริษัทเอกชนผู้ค้าแป้งข้าวสาลีภายในประเทศ 4 บริษัท ได้ดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวสาลีให้มากยิ่งขึ้น โดยให้การสนับสนุนด้านการซื้อผลผลิตในราคาประกัน เพื่อให้เกษตรกรมีความมั่นใจ และหันมาปลูกข้าวสาลีให้มากเพื่อลดการนำเข้าได้ทางหนึ่ง รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง
ข้าวสาลีเป็นพืชที่ต้องการอากาศหนาวเย็น ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ปลูกได้ในสภาพไร่ที่อาศัยน้ำฝน หรือปลูกในเขตชลประทานที่ดินมีการระบายน้ำได้ดี
พันธุ์ที่เหมาะสม
ปัจจุบันพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกมี 3 พันธุ์ คือ
- สะเมิง 1 เหมาะสำหรับปลูกในที่ดอนของภาคเหนือที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น มีอายุ 100 วัน
- สะเมิง 2 สามารถปรับตัวได้ดีภายใต้สภาพอากาศที่แปรปรวน จึงเหมาะที่จะใช้ปลูกในสภาพไร่อาศัยน้ำฝน และในสภาพนาที่ค่อนค้างมีน้ำจำกัด มีอายุ 90 วัน
- อินทรีย์ 1 สามารถปรับตัวได้ดีภายใต้สภาพอากาศแปรปรวน ทนแล้ง ทนต่อการทำลายของหนอนกอ เหมาะสมที่จะใช้ปลูกทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในสภาพไร่อาศัยน้ำฝน ช่วงที่เหมาะสมที่สุดอยู่ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม ไม่ควรปลูกเร็วเกินไปเพราะอากาศร้อน จะทำให้เกิดโรคง่าย และหากปลูกช้าเกินไปข้าวสาลีจะกระทบแล้ง ในสภาพนาช่วงที่เหมาะสมที่สุดประมาณ 15 พฤศจิกายน แต่ไม่ควรปลูกล่าเกิน 15 ธันวาคม
ดินที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวสาลี จะต้องมีการระบายน้ำดี ดินเหนียวจัด หรือมีชั้นดินดานที่มีการระบายน้ำเลว รวมทั้งดินที่เป็นกรดจัด และเค็มจัด ไม่เหมาะสมจะใช้ปลูกข้าวสาลี ดังนั้นพื้นที่ซึ่งจะใช้ปลูกข้าวสาลีควรมีลักษณะ ดังนี้
- ดินมีการระบายน้ำได้ดี ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี ซึ่งได้แก่ ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย
- มีความชื้นในดิน หรือมีแหล่งน้ำที่แน่นอนอย่างน้อย 30 วัน หลังปลูกข้าวสาลี
- แปลงปลูกข้าวสาลี ไม่ควรขัดแย้งกับแปลงปลูกพืชอื่นข้างเคียงเกี่ยวกับ ระบบการให้น้ำ การให้น้ำควรปล่อยตามร่อง และระบายออกได้สะดวกและรวดเร็ว
การเตรียมแปลงปลูกข้าวสาลี ควรเริ่มทันทีหลังเก็บเกี่ยวพืชแรกออกจากแปลง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืช และเป็นช่วงที่ดินยังมีความชื้นอย่างพอเพียง การเตรียมดินโดยทั่วๆ ไปมี 2 ลักษณะ คือ
- มีการพลิกดิน ขุดดินด้วยจอบแล้วย่อยดินโดยใช้จอบสับ ใช้รถแทรกเตอร์ไถดะ และไถแปร เพื่อให้ดินแตกย่อย ปรับที่ให้เรียบ
- ไม่มีการพลิกดิน ได้แก่ การปลูกโดยหยอดเมล็ดเป็นหลุมในตอซังข้าว หรือตัดตอซัง ยกแปลงปลูกแบบกระเทียม ขุดดินจากร่องเกลี่ยบนแปลง เปิดร่องโรยเมล็ดเป็นแถว
ปลูกได้หลายวิธีตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ไร่ละ 20 กิโลกรัม
การปลูกในสภาพไร่
1. การปลูกในสภาพที่สูงลาดชัน จะใช้วิธีกระทุ้ง หยอดแบบข้าวไร่ หยอดหลุมละ 5-6 เมล็ด ระยะห่างระหว่างแถว 20 ซม. (2 ฝ่ามือ)
2. การปลูกในสภาพที่ดอน ไถพลิกดิน 1 ครั้ง ย่อยดินด้วยจานพรวน แล้วปลูกได้ 2 วิธีคือ
- โรยเป็นแถว เปิดร่องโดยใช้จอบสับดิน หรือใช้คราดซี่ไม้หรือคราดซี่เหล็ก ให้มีความลึก 3-5 ซม. ระยะระหว่างร่อง 20-25 ซม. โรยเมล็ดพร้อมปุ๋ยตามความยาวของแปลง จากนั้นกลบด้วยเท้าหรือจอบ
- หว่านพรวนกลบ ควรปลูกในช่วงที่ผิวดินมีความชื้นเพียงพอต่อการงอกของต้นกล้า หว่านเมล็ดให้สม่ำเสมอทั่วแปลง แล้วพรวนกลบ
การปลูกในสภาพนา
1. ปลูกแบบโรยเป็นแถวบนแปลง หลังจากไถและคราดดินแล้วเปิดร่องลึกประมาณ 5 ซม. โรยเมล็ดพร้อมปุ๋ยตามความยาวของแปลง ระยะห่างระหว่างร่องหรือแถวประมาณ 20 ซม. กลบเมล็ดให้ฝังในดินลึก 3-5 ซม.
2. ปลูกแบบหว่านแล้วยกร่องกลบ หลังจากไถดะและคราดดินแล้ว หว่านเมล็ดข้าวสาลีพร้อมปุ๋ยรองพื้นให้ทั่วแปลง แล้วยกแปลงและทำร่องน้ำ ดินที่ถูกยกขึ้นมาทำแปลงจะกลบเมล็ดข้าวสาลี และปุ๋ยได้พอดี
3. ปลูกแบบหว่านแล้วคราดกลบ วิธีนี้เหมาะกับพื้นที่เป็นกระทงนาขนาดเล็ก ดินต้องร่วนระบายน้ำได้สะดวก ทำการไถขณะดินมีความชื้นพอที่เมล็ดจะงอกได้ ทำการหว่านแล้วคราดกลบ
4. ปลูกแบบไม่ไถ ตัดตอซัง ยกแปลงหว่านเมล็ดพร้อมปุ๋ยทั่วแปลง ถากหญ้ากำจัดวัชพืชกลบทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้ฟางกลบ (สำหรับวิธีนี้ทางหวัดน่านได้ทำการทดสอบ ปรากฏว่าให้ผลดี) เป็นการประหยัดเวลา แรงงานและลดต้นทุนการเตรียมดิน
การใส่ปุ๋ย
การปลูกข้าวสาลีให้ได้ผลผลิตสูง และคุณภาพดี เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยเคมี 2
ครั้ง คือ ปุ๋ยรองพื้น ควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0 คลุกเมล็ดพร้อมปลูก อัตราไร่ละ 30 กิโลกรัม ปุ๋ยแต่งหน้า ใช้สูตร 21-0-0 อัตราไร่ละ 20 กิโลกรัม ใส่หลังข้าวสาลีงอกแล้ว ประมาณ 15-20 วัน
การให้น้ำ
ข้าวสาลีไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง หรือดินเปียกชื้นได้ยาวนาน การให้น้ำหลังหยอดเมล็ดจึงค่อนข้างอันตราย ถ้าปลูกในสภาพดินมีความชื้นเหมาะสม การให้น้ำครั้งแรกควรให้เมื่อข้าวสาลีงอกได้ประมาณ 10 วัน ระยะวิกฤตที่ต้นข้าวสาลีไม่ควรขาดน้ำ ได้แก่
1. ระยะที่ต้นข้าวสาลีกำลังแตกรากจากข้อใต้ดิน (10 วัน หลังเมล็ดงอก)
2. ระยะเริ่มสร้างรวงอ่อน (25-30 วัน หลังเมล็ดงอก)
3. ระยะผสมเกสร
4. ระยะสร้างเมล็ด (15 วัน หลังผสมเกสร) ในสภาพน้ำจำกัด การให้น้ำ 2 ครั้ง ในช่วง 30 วันแรก ข้าวสาลีจะให้ผลผลิตในระดับที่น่าใจ
การตรวจความต้องการน้ำ
สามารถตรวจสอบได้โดยขุดดินลึกประมาณ 10 ซม. หรือบริเวณใต้ผิวดินใกล้บริเวณราก กำมือปั้นดิน หากเมล็ดดินจับตัวกันได้ไม่แตกออกจากกัน แสดงว่ามีความชื้นเพียงพอไม่ต้องให้น้ำ ถ้าหากดินที่บีบไม่จับตัวต้องให้น้ำทันที
การป้องกันวัชพืช
1. เตรียมดินโดยไถพรวน และคราดหลายครั้ง
2. หากปลูกเป็นแถวใช้จอบถากระหว่างแถว
3. ใช้สารบิวตาคลอร์ หรืออลาคลอร์ในอัตราตามคำแนะนำ
โรคใบจุดสีน้ำตาล ต้นกล้าจะมีแผลสีน้ำตาลเข้มที่ราก ที่ต้นใบด้านล่าง ป้องกันโดยใช้สารเคมีคลุกเมล็ด เช่น ไวตาแวก 0.3% หรือ ไดเทนเอ็ม 45 อัตรา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ
โรคกล้าแห้ง และโคนเน่า ต้นข้าวสาลีเหี่ยวและมีสีเหลือง บริเวณโคนต้นจะพบเส้นใยสีขาว และเมล็ดกลมสีขาวน้ำตาล หากพบขุดต้น และดินบริเวณรอบต้นออก แล้วโรยปูนขาวบริเวณที่พบ
การป้องกันหนู
- ใช้เหยื่อพิษออกฤทธิ์เร็ว เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ ผสมข้าวสารอัตรา 1:99 วางรอบแปลง หรือช่องทางเดินห่างกันจุดละ 15 ตัว
- หลังจากนั้นวางเหยื่อพิษออกฤทธิ์ช้า เช่น ราคูมินผสมเหยื่อ อัตรา 1:99 โดยน้ำหนัก ใส่กระบอกไม้ไผ่แล้ววางห่างกันจุดละ 20 ตัว ตามช่องทางเดิน แล้วเติมเหยื่อทุก 15 วัน
การเก็บเกี่ยวนวดและทำความสะอาด
เก็บเกี่ยวเมื่อต้นข้าวสาลีแห้งเป็นสีฟาง เมล็ดแข็ง เนื้อขนจะเปราะ เกี่ยวด้วยเคียว วางรายบนตอซัง ตากให้แห้ง 2-3 แดด มัดฟ่อนด้วยตอก แล้วเอามานวดด้วยเครื่องนวดข้าวธรรมดา โดยปรับความเร็วให้สูงขึ้นเล็กน้อย หรือนวดด้วยแรงคนโดยฟาดกับแครไม้ หรือกระบุงใหญ่ (ครุ) หรือใช้ไม้ทุบรวงให้เมล็ดร่วงออกมา แล้วฝัดด้วยกระด้งหรือเครื่องสีฝัด บรรจุกระสอบเก็บไว้ในที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก
การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์
ต้องตากเมล็ดพันธุ์ให้แห้งสนิทมากที่สุด แต่อย่าให้โดนแสงแดดที่จัดจ้าโดยตรง แล้วเก็บในภาชนะปิด หรือเก็บในกระสอบ แล้วนำไปเก็บรักษาในยุ้งฉางที่อากาศถ่ายเทได้ง่ายและกันฝน นก และหนูได้ด้วย เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ของข้าวสาลีจะเป็นเมล็ดที่ไม่มีเปลือกหุ้มทำให้มีโอกาสถูกทำลายจากแมลงศัตรูในโรงเก็บ เช่น ด้วงงวงข้าว ดังนั้นการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์บ่อยๆ ทุกๆ เดือน ถ้าพบการทำลายของแมลงศัตรู ควรรีบเอาออกมาทำความสะอาด และผึ่งแดดอีกครั้ง
เรียบเรียง : ไพบูลย์ พงษ์สกุล กองส่งเสริมพืชไร่นา ,ทรรศนะ ลาภรวย กองส่งเสริมพืชไร่นา
บรรณาธิการ : เกตุอร ราชบุตร กองเกษตรสัมพันธ์
โพสต์โดย : POK@