ภูสิงห์ จ.บึงกาฬ ภูเขาที่มีหินรูปทรงแปลกๆ มากที่สุด
ภูสิงห์ จ.บึงกาฬ เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ไม่นานนัก (ประมาณ 2-3 ปี) ก็มีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ เข้ามาเยี่ยมชมกันอย่างไม่ขาดสาย ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ฯลฯ อย่างเช่นวันนี้ก็เช่นกัน ที่มีนักท่องเที่ยวจาก กรุงเทพมหานคร เดินทางมาที่แห่งนี้ จากการสอบถามก็ทราบว่า เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาชม บั้งไฟพญานาค จึงได้มาแวะชมที่ ภูสิงห์บึงกาฬ
การเดินทางมาที่ ภูสิงห์ จ.บึงกาฬ ก็ง่ายแสนง่าย ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก (ประมาณ 20 กม.) ใช้ ถนนหมายเลข 212 บึงกาฬ-นครพนม เมื่อขับรถมาถึงประมาณ กม.ที่ 10 จะถึง ต.โคกก่อง เป็นสามแยกให้เลี้ยวขวาไปทาง อ.ศรีวิไล ขับรถเข้ามาประมาณ 3-4 กม. ก็จะเจอป้ายทางเข้าภูสิงห์ และขับเข้าไปอีก 1 กม. ก็จะถึงด่านตรวจ ทางขึ้น ภูสิงห์
จากจุดตรงด่านตรวจจะ ไม่เสียค่าธรรมเนียม การขึ้นใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะเป็นการบริจาคเพื่อการบำรุงรักษาพื้นที่บริเวณภูสิงห์ (แล้วแต่จิตศรัทธา ให้ไม่ให้ก็ได้) ณ จุดนี้ เราต้องแลกบัตรประชาชนตรงจุดด่านตรวจนี้เพื่อขึ้นไปข้างบนยอดภูสิงห์ (สามารถขับขึ้นไปได้เฉพาะรถกะบะ รถโฟวิล และรถเก๋งบางประเภท ตามแต่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่) หากท่านไม่มีรถที่จะขับขึ้นไปภูสิงห์ ทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อรถพาขึ้นไปได้ (มีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาท)
หลังจากไหว้พระเสร็จ เราก็เดินกันต่อเพื่อไปบนยอด ภูสิงห์ ทางขึ้นเป็นทางชันการเดินทางค่อนข้างลำบาก จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งหัดขับรถ หรือรถที่ช่วงล่างต่ำ เพราะถนนจะมีหลุมมีบ่อและก้อนหินภูเขาเกือบตลอดเส้นทาง ต้องใช้ความระมัดระวังย่างยิ่ง โดยด้านบนของภูสิงห์ จะเป็นที่ตั้งของ วัดจิตตภาวดีคีรีบรรพต หรือ วัดภูสิงห์ ซึ่งวัดจะอยู่ห่างจากด่านตรวจประมาณ 1 กม. จุดนี้โปรดขับรถช้าๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่วัด และงดใช้เสียง
ระหว่างทางขึ้นยอด ภูสิงห์ ทางค่อนข้างขรุขระและเดินทางลำบาก อาจจะต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีกว่าจะถึงยอด ภูสิงห์ (อาจจะใช้เวลาเร็วกว่านี้หากมีความชำนาญทาง และมีรถเป็นโฟวีล) ระหว่างทางที่ขึ้นมา จะมีจุดชมวิวหลายจุดให้แวะชม แวะเซลฟี่กันตลอดทาง เช่น หินช้าง, หินหัวช้าง, ส้างร้อยบ่อ และจุดชมวิวอื่นๆ อีกมาก ทำให้การเดินทางตลอดเส้นทาง มีวิวสวยๆ ให้ชมกันตลอดไม่มีเบื่อ
เมื่อมาถึงยอดภูสิงห์ จะมีลานจอดรถกว้างขวาง สามารถเลือกจอดได้เลย ใกล้บริเวณที่จอดรถ จะมีจุดชมวิวใกล้ๆ เดินไม่ถึง 200 ม. ก็จะถึง จุดชมวิวถ้ำฤาษี ภูสิงห์ บึงกาฬ จุดชมวิวจุดนี้ จะไม่มีราวกั้นหน้าผา ต้องให้ความระมัดระวัง หากท่านมากับเด็กเล็ก ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
การเดินทางต่อไป เราจะไปเราจุด ไฮไลท์ ของ ภูสิงห์ บึงกาฬ คือ หินสามวาฬ จากจุดชมวิวถ้ำฤาษีนี้ เราจะเดินเท้าไปอีกประมาณ 300 ม. ซึ่งไม่ไกลมากนัก และทางเดินสะดวก มีป้ายบอกชัดเจน
หินสามวาฬ หนึ่งในจุดสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของภูสิงห์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ในพื้นที่ของภูสิงห์เอง เต็มไปด้วยกลุ่มของก้อนหินรูปทรงต่าง ๆ หน้าผา และถ้ำ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เกิดเป็นความสวยงามที่ชวนให้สะกดสายตานักท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึงหินสามวาฬ ที่มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี หนึ่งเดียวของโลก ความพิเศษของหินสามวาฬอยู่ตรงที่ เมื่อมองดูจากระยะไกล หินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ ที่ประกอบด้วยพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ซึ่งเรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน (ที่มา : เว็บกระปุก)
ดั้นด้น ฝาโคลน ลุยถนนสุดหฤโหดมาถึงหินสามวาฬแล้ว เราก็มานั่งพักเหนื่อยรับลมเย็นๆ จากบนยอด ภูสิงห์ บึงกาฬ พร้อมเช็คอินถ่ายรูปกันครับ
นอกจาก หินสามวาฬ ภูสิงห์ บึงกาฬ ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่แล้ว ยังมีจุดชมวิวอื่นๆ อีกมาก ซึ่งผมรับรองได้เลยว่า เที่ยววันนึงเต็มๆ ก็ไม่น่าจะแวะเที่ยวได้หมดทุกที่กันแน่นอน คาดว่าต้องใช้เวลาสักสองวัน หากจะต้องเก็บภาพ แวะชมวิวตามจุดต่างๆ ได้ครบ ไม่ว่าจะเป็น ส้างร้อยบ่อ, หินหัวช้าง, ถ้ำใหญ่ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ขับรถเข้ามาได้เห็นมีป้ายกำกับมาตลอดทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก
bungkan77.com