เทคนิคการปลูก และดูแล พริกเหลือง
เทคนิคการปลูก และดูแล พริกเหลือง
เกษตรกรไทยส่วนใหญ่นิยมปลูกพริกกันมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ง ทำให้มีผลผลิตพริกออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม จนผลผลิตเกินความต้องการของตลาด ทำให้มีปัญหาด้านราคาที่ตกต่ำ ดังนั้นการผลิตพริกนอกฤดูกาลหรือวางแผนการปลูกให้พริกมีผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมิถุนายน - ธันวาคม จึงเป็นทางออกของปัญหาด้านราคา แต่การปลูกพริกในช่วงเวลานี้ มักจะพบกับปัญหาเช่น การระบายน้ำของดินไม่ดีพอ ต้นพริกที่ผ่านช่วงฤดูฝนมักประสบกับปัญหาโรคแอนแทรคโนส แพร่ระบาดได้ง่ายมาก รวมทั้ง โรคอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากความชื้นในช่วงฤดูฝนเป็นหลัก ดังนั้น
การปลูกพริกเชิงการค้า ในช่วงฤดูฝนจึงมีความเสี่ยงมากกว่าฤดูกาลอื่นๆ แต่ถ้าเกษตรกรสามารถผลิตพริกนอกฤดูได้สำเร็จ ย่อมทำให้เกิดรายได้ที่ดีกว่าการผลิตพริกตามฤดูกาลแน่นอน
ในกลุ่มพริกใหญ่ทั้งหลาย เมื่อแบ่งตามสีของผลจะมีอยู่หลายสีและที่รู้จักกันดี คือ กลุ่มสีเขียว ซึ่งมีตั้งแต่เขียวอ่อน เขียวเหลือง และ เขียวเข้มเป็นต้น ในขณะที่พริกใหญ่ที่มีสีเหลืองเป็นกลุามที่หายากและมีราคาแพงที่สุด ในขณะที่คนไทยยังมีความต้องการบริโภคพริกเหลืองอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเมื่อนำมาประกอบอาหารจะได้สีและรสชาติที่มีความหอมเฉพาะตัว ในบางช่วงราคาของพริกเหลืองที่มีขายในตลาดจะสูงถึง 150 บาท/กก. ปัจจุบันพันธุ์พริกเหลืองที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปจะเป็นพันธุ์พริกเหลืองบางบัวทอง แต่มีจุดอ่อนตรงที่ไม่ค่อยทนทานต่อโรคและผลผลิตต่อไร่ต่ำ
ในอดีตที่ผ่านมาศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร
กรมวิชาการเกษตร ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์
พริกเหลือง โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพริกพันธุ์ พจ.013(ผลส้ม) กับพริกพันธุ์ พจ.07(ผลสีเขียวอ่อน) และได้ทำการคัดเลือกให้เป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 เป็นต้นมา จนได้พันธุ์พริกเหลืองที่ให้ผลผลิตสูงกว่าพริกเหลืองบางบัวทอง พริกเหลืองพันธุ์ใหม่ที่ศูนย์ วิจัยพืชสวนพิจิตรปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาใหม่นั้นมีลักษณะที่ดีเด่นกว่าพริกเหลืองบางบัวทองตรงที่มีขนาดของผลใหญ่เรียวยาวกว่าและให้ผลผลิตสูงกว่า ปัจจุบันทางแผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้นำพันธุ์พริกเหลืองพันธุ์ใหม่มาปลูก เพื่อคัดเลือกพันธุ์ให้มีความนิ่งของสายพันธุ์มากขึ้นและทดลองปลูกขาย ปรากฏว่าผลผลิตเป็นที่ต้องการของพ่อค้า ผู้บริโภคและเกษตรกรที่ปลูกพริกเหลืองเป็นอย่างมาก
การเตรียมพื้นที่ปลูกพริกเหลือง : เกษตรกรที่ปลูกพริกเหลืองในพื้นที่ดินใหม่ จะต้องเก็บตัวอย่างดินไปวิเคราะห์อย่างน้อยที่สุดควรตรวจความเป็นกรด-เป็นด่างของดิน ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกพริกควรมีค่า PH = 6.0-6.8 ถ้าสภาพดินเป็นกรดจะต้องมีการปรับสภาพของดิน โดยใช้โดโลไมท์หรือปูนขาว อัตราเฉลี่ย 300 กก./ไร่ ก่อนไถดินและควรใส่ปุ๋ยคอกอย่างน้อย 1,000 กก./ไร่ หรือ 1 ตันเมื่อไถ เมื่อไถดินเสร็จให้ตากดินไว้ 3-7 วัน
หลังตากดินเสร็จ ต้องทำการยกแปลงปลูกให้สูงประมาณ 30 ซม. ความยาวของแปลงตามสภาพพื้นที่ แต่ไม่ควรให้ยาวเกิน 50 เมตร ขึ้นแปลงด้วยไถผาน 7 ขึ้นแปลงไป-กลับ 4 รอบ เมื่อขึ้นรอบที่ 5 ให้ใช้เกรดรถไถปรับหลังแปลงให้เรียบเป็นแปลงพริก(ไม่ต้องใช้แรงงานคน) จากนั้นปูพลาสติก และ วางสายน้ำหยดหรือจัดระบบน้ำตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
เทคนิคการเพาะเมล็ดพริกเหลือง : การเพาะเมล็ดพริกมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน โดยในแต่ละวิธีจะมีขั้นตอนที่สำคัญเหมือนกันคือ การนำเมล็ดพันธุ์พริกมาแช่ในน้ำอุ่น(น้ำร้อน 1 ส่วน+น้ำเย็น 1 ส่วน) ก่อนนำไปเพาะ 30 นาที จากนั้นจึงนำมาผ่านกระบวนการบ่มด้วยการห่อเมล็ดพริกที่ผ่านการแช่น้ำอุ่น ด้วยผ้าขาวบาง 1 คืน เพื่อกระตุ้นให้เมล็ดมีความงอกดี ก่อนนำไปเพาะ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. หยอดเมล็ดลงในถาดเพาะโดยตรง - เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด
2. หว่านเมล็ดในตะกร้าพลาสติกที่ใช้ทรายเป็นวัสดุปลูก -โดยใช้ทรายขี้เป็ดชนิดหยาบเป็นวัสดุเพาะ โดยต้องนำทรายไปต้มฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน เมื่อทรายเย็นตัวลงแล้วจึงนำมาเพาะกล้าได้
การดูแลถาดเพาะกล้า : หลังเพาะกล้าเสร็จควรมีการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่า และควรระมัดระวังการให้น้ำอย่าให้แฉะจนเกินไป เพราะจะทำให้เล็ดพริกเน่าได้
อายุการงอกของกล้าพริก :
ฤดูร้อน - เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 7-10 วัน จากนั้นควรย้ายต้นกล้าจากถาดเพาะลงถาดหลุม
ฤดูหนาว - เมล็ดจะงอกภายใน 15 วัน หลังจากนี้จึงย้ายกล้าลงถาดหลุม เพื่อเตรียมย้ายปลูกลงแปลงต่อไป
3. เพาะเมล็ดในแปลงเพาะกล้า - เป็นวิธีการที่เกษตรกรนิยมที่สุด เพราะประหยัดต้นทุนการผลิต
การเตรียมแปลงเพาะกล้า : ควรขึ้นแปลงให้มีขนาดความกว้าง 2 เมตร ความยาว 5-10 เมตร ขุดพลิกดินตาก 2 สัปดาห์ แล้วย่อยดินให้มีขนาดเล็ก ระหว่างการย่อยดินควรผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 25 กก. ลงไปคลุกเคล้ากับหน้าดินในแปลงให้ทั่วจน หน้าดินร่วนซุย จากนั้นปรับเกลี่ยหน้าดินให้เรียบ
การหว่านเมล็ด : ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 50 กรัม ต่อพื้นที่ปลูกพริก 1 ไร่ ทำการโรยเมล็ดลงไปในแปลงให้มีความลึก 0.5 ซม. โดยโรยเป็นแถวไปตามความกว้างของแปลง แต่ละแถวห่างกัน 10 ซม. เสร็จแล้วให้กลบดินบางๆ ให้เสมอผิวดิน แล้วคลุมหน้าแปลงด้วยฟางข้าว
การดูแล : รดน้ำผสมสารป้องกันเชื้อรา และ รักษาความชื้นในแปลงให้สม่ำเสมอ เมื่อเห็นต้นกล้าเริ่มงอกขึ้นมาให้ทำการดึงฟางออกบ่าง เพื่อให้ต้นกล้าได้เจริญเติบโต จนกระทั่งต้นกล้าเริ่มมีใบจริง 4-5
ใบ จำต้องพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง จนต้นกล้าอายุได้ 25 - 30 วันแล้วมีต้นสมบูรณ์จึงย้ายปลูกลงแปลงได้
การใส่ปุ๋ย : ปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยที่มีความจำเป็น ในการปลูกพริกทุกครั้งควรใส่เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินช่วยให้ดินร่วยซุย โดยจะใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ รองก้นหลุมก่อนปลูก หลุมละ ? กก. จากนั้นจึงจะให้ปุ๋ยเคมีทางดิน เดือนละ 1 ครั้ง โดยใช้สูตร 25-7-7 เป็นปุ๋ยยืนพื้น เร่งการเจริญเติบโตของต้นและใบ สลับกับปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 16-16-16 หรือ 19-19-19 + ปุ๋ยบางสูตร เช่น แคลเซี่ยมไนเตรท (สูตร 15-0-0) ไปช่วยลดอาการขาดธาตุแคลเซียม
**เกษตรกรควรหมั่นสำรวจดูต้นที่ให้ผลดกเกินไปให้ดี เพราะอาจพบอาหารขั้วนิ่ม ปลายผลเหลืองร่วงหรืออาการ "กุ้งแห้งเทียม" ที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียมได้
การให้น้ำพริกเหลือง : พริกเหลืองเป็นพืชที่มีความต้องการน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขัง การให้น้ำพริกมีหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความสะดวก ประสิทธิภาพ และ สภาพพื้นที่ปลูก แต่การปลูกพริกเชิงการค้าจะปลูกกันบนพื้นที่เรียบ การเลือกใช้ระบบให้น้ำด้วยการปล่อยน้ำเข้าร่องแปลง ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งระบบนี้เป็นวิธีที่เกษตรกรผู้ปลูกพริกหลังนาทำกันอยู่แล้ว ด้วยไม่มีต้นทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับวิธีการปล่อยน้ำเข้าร่องนี้ควรมีทางระบายน้ำออกที่ดีด้วย เพื่อป้องกันการขังแฉะของน้ำในแปลงปลูก
ในแปลงปลูกที่มีสภาพดินเป็นทรายมีปริมาณน้ำน้อย แนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยดจะเหมาะสมกว่า ถึงจะมีต้นทุนค่าอุปกรณ์สูง แต่ถ้าอยู่ติดเนินเขาหรือมีแหล่งน้ำเพียงพอการติดตั้งสปริงเกอร์แบบ Big Gun ก็จัดเป็นระบบการให้น้ำที่เหมาะสม เพราะมีรัศมีในการส่งน้ำได้ถึง 1.2 ไร่ต่อหัว
การกำจัดวัชพืช : การปลูกพริกแบบใช้แรงงานคนในการกำจัดวัชพืช จัดเป็นวิธีโบราณ แต่สามารถประหยัดต้นทุนได้ดีกว่าการคลุมด้วยพลาสติก
ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนแรงงานคนในการกำจัดวัชพืช : การกำจัดวัชพืชด้วยแรงงานคนจะเริ่มทำรุ่นครั้งแรก เมื่อย้ายกล้าพริกลงแปลงปลูกได้ 15 วัน หลังจากนั้น จะมีการทำรุ่นทุกๆ 15 วัน จนพริกมีอายุได้ 3 เดือน จึงหยุดทำรุ่น เนื่องจากต้นพริกโตพอที่จะบังแดดไม่ให้หญ้าขึ้นได้แล้ว เมื่อมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการทำรุ่นด้วยการใช้แรงงานคนในพื้นที่ปลูกพริก 1 ไร่ต่อ 1 ฤดูกาล จะใช้ค่าแรงประมาณ 1,800 บาท ต่อไร่ ในขณะที่ถ้าปลูกพริกด้วยการใช้พลาสติกคลุมแปลงจะมีต้นทุนต่อไร่ประมาณ 3,000-4,000 บาท และการใช้พลาสติกคลุมแปลงปลูกพริกมีข้อจำกัดในเรื่องของระบบการให้น้ำ ที่จะใช้ได้เพียงระบบน้ำหยดเท่านั้น
**สำหรับการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชนั้น ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะจะมีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพริกเหลือง และอาจทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต แต่ถ้ามีการเตรียมแปลงปลูกที่ดีจะช่วยเรื่องการลดปริมาณวัชพืชได้ เช่น ควรตากดินเพื่อทำลายเมล็ดวัชพืชหรือทำการคราดส่วนขยายพันธุ์ เช่น เหง้าออก ถ้ามีการจัดการในเรื่องวัชพืชไม่ดีพอ ก็จะเกิดผลเสียต่อการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพริกด้วย
โรคแอนแทรคโนสมในพริกเหลือง : เนื่องจากเป็นโรคที่กระทบต่อการให้ผลผลิตเป็นอย่างมาก และถ้าพบว่ามีการระบาดในแปลงปลูกเมื่อไหร่ หากไม่เร่งจัดการให้ดีเกษตรกรผู้ปลูกพริกก็อาจประสบกับสภาวะขาดทุนได้ เกษตรกรจำเป็นต้องหมั่นสำรวจอาการผิดปกติของพริก หากพบว่ามีอาการใบหรือโคนต้นเริ่มมีจุดเล็กๆ ให้เห็น เป็นต้น
การป้องกันกำจัด : ใช้แอนทราโคบล ฉีดพ่นคุลมแปลงปลูกเพื่อป้องกันการเกิดโรค หลังจากฝนตกหนัก หมอกชงจัด หรือ พบว่าแปลงปลูกข้างเคียงเป็นโรค
**เนื่องจากพริกเหลืองเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคแอนแทรคโนสได้มากที่สุด เกษตกรผู้ปลูกพริกเหลืองควรเฝ้าระวังการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด
ข้อแนะนำในการปลูกพริกเหลือง : จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าบางช่วงพริกเหลืองจะมีราคาแพงมาก และอาจมีราคาขายเมื่อถึงมือผู้บริโภคสูงถึง 150 บาท/กก. และ ในการปลูกพริกเหลือง อาจต้องลงทุนสูงเนื่องจากมีการจัดการมาก เพราะเป็นพืชที่มีการบำรุงรักษายาวนาน หรือ มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 15 บาท /กก. แต่ถ้ามีการจัดการที่ดีพื้นที่ปลูก พริกเหลือง 1 ไร่ อาจสร้างรายได้ให้ได้ถึงไร่ละ 100,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าปลูกพืชอื่นหลายชนิด
โพสต์โดย : POK@