เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ
เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน
เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ
แก่นตะวัน หรือ
" ทานตะวันหัว " และ
" แห้วบัวตอง " เป็นพืชในตระกูลทานตะวัน สามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาว โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม ถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ จึงทำให้แก่นตะวันกลายเป็นพืชการค้าที่ได้รับความสนใจสูง ณ ปัจจุบัน
พื้นที่ปลูกและฤดูกาลปลูก : แก่นตะวัน ควรปลูกในพื้นที่ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง-ปานกลาง ปลูกได้ทุกฤดู และควรมีการให้น้ำในช่วงฝนทิ้งช่วง
การเตรียมดิน : ทำการไถดินตากแดดไว้ 7-10 วัน เพื่อกำจัดวัชพืช โรคและแมลงที่อาศัยอยู่ในดิน แล้วจึงทำการใส่ปุ๋ยหมักในอัตรา 2000-3000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยผสมคลุกเคล้ากับดินให้สม่ำเสมอกันทุกพื้นที่
การปลูกแก่นตะวัน : นำเหง้าแก่นตะวัน มาทำการตัดท่อน 3-5 เซนติเมตร ทำการปักชำในแกลบดำที่มีความชื้นสูง ประมาณ 7 วัน เพื่อทำให้เกิดต้นอ่อน แล้วจึงนำไปปลูกลงแปลงปลูกแก่นตะวัน ระยะห่าง 80x80 เชนติเมตร และทำการให้น้ำทันทีหลังการปลูกแก่นตะวัน
การดูแลรักษาแก่นตะวัน : ทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ กำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา
25 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่ออายุได้ 1 เดือน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และเพิ่มผลผลิต
การเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษา : เมื่อปลูกแก่นตะวันได้ 120 วัน หรือต้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยการใช้พลั่วหรือจอบขุดเอาเหง้าขึ้นมา นำไปทำความสะอาดแล้วจำหน่ายเหง้าสดได้ทันที และหากจำหน่ายไม่หมดสามารถเก็บรักษาเหง้าสดได้ในอุณหภูมิ 5-10 องศาเซลเซียส
สรรพคุณอื่นทางยาสมุนไพร
- ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย
- ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
- แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก
- ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
- ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
- ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
- ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
- กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก
โพสต์โดย : POK@