Social :



เทคนิคการป้องกัน และแก้ไข น้ำท่วมสวนไม้ผล

26 มิ.ย. 62 11:06
เทคนิคการป้องกัน และแก้ไข น้ำท่วมสวนไม้ผล

เทคนิคการป้องกัน และแก้ไข น้ำท่วมสวนไม้ผล

เทคนิคการป้องกัน  และแก้ไข  น้ำท่วมสวนไม้ผล

สภาวะน้ำท่วมขังสวนไม้ผล    ที่เกิดขึ้นในทุกระยะ  ได้สร้างความสูญเสียให้กับเกษตรกรเป็นจำนวนมาก  เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต  ที่ได้พบมาก่อนนั้นเป็นเรื่องของความแห้งแล้ง  ชาวสวนจึงไม่ค่อยได้คำนึงในเรื่องนี้มากนัก  ภัยจากน้ำท่วมขังที่เกิดขึ้นในอดีตได้ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ชาวสวนเป็นอย่างมาก  จนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวไป

ดังนั้น  เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่อาจเกิดตามมาในอนาคตอันใกล้นี้  นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้จัดทำเอกสารฉบับนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการป้องกันและการแก้ไขปัญหาของสภาวะน้ำท่วมขัง  เพื่อให้ประโยชน์แก่ชาวสวนไม้ผลและนักวิชาการ หรือนักส่งเสริมที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ปฏิบัติต่อไป


แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหานั้น  แบ่งได้เป็น  3  สถานะ  ดังนี้

1.  การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมขัง   หากเป็นสภาพพื้นที่ราบลุ่ม  ขอให้เกษตรกรตรวจดูความแข็งแรงของคันดินรอบสวน  โดยให้พิจารณาถึงความสูงและความหนาของคัน  หากพบมีจุดบกพร่องหรือมีความสูงไม่เพียงพอให้รีบดำเนินการเสริมคันดังกล่าวก่อนภาวะฝนตกชุกจะมาถึง สำหรับสวนในสภาพพื้นที่ดอนนั้น  น้ำท่วมขังมักเกิดจากน้ำป่าไหลหลาก  ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว  ความสูญเสียมักเกิดจากความแรงและต้นไม้ที่น้ำพัดพา  รวมทั้งตะกอนดินที่อาจทับถมไว้  อันเป็นสิ่งที่ยากจะป้องกันได้

อย่างไรก็ตาม  การป้องกันการชะล้างหน้าดินหรือมีแนวรั้วหรือมีการปลูกแนวไม้บังลมที่แข็งแรงอยู่ก่อนแล้วก็สามารถลดความรุนแรงนี้ลงได้เป็นอย่างมาก  ในกรณีที่ทราบสถานการณ์ล่วงหน้า  หากมีโอกาสแนะนำให้ตัดแต่งเอาใบออกประมาณ  25-30  เปอร์เซ็นต์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นใบอ่อน  ซึ่งใบเป็นส่วนที่มีการใช้อาหารมากที่สุด



2.1  สวนผลไม้ในพื้นที่ลุ่ม   ให้ชาวสวนรีบดำเนินการจัดเสริมสร้างคันดินโดยรอบให้แข็งแรงพอที่จะรองรับแรงดันของน้ำให้ได้ จากนั้นรีบสูบน้ำออกจากพื้นที่ให้สวนแห้งโดยเร็ว  จนน้ำในสวนลดลงสู่ระดับปกติ

2.2 ในกรณีที่สวนผลไม้ไม่สามารถเสริมคันดินได้   สิ่งที่พอจะประทังได้คือ  การช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ  โดยใช้วิธีการพ่นอากาศลงในน้ำที่ท่วมขังอยู่  ซึ่งอาจใช้มอเตอร์หรือเครื่องยนต์หมุนกังหันน้ำหรือใช้การตีให้น้ำที่ท่วมขังมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา  ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ละลายในน้ำได้มากขึ้น  โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกพืชในน้ำยา (hydroponics)  และรากของต้นไม้สามารถนำไปใช้ได้ส่วนหนึ่งจนกว่าน้ำลด

3. ข้อปฏิบัติภายหลังน้ำลด   สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ให้มากทั้งสวนในสภาพพื้นที่ลุ่มและที่ดอน  คือ  เมื่อระดับน้ำลดแล้วแต่ดินยังมีความเปียกชุ่มหมาดอยู่  ห้ามเดินย่ำผิวดินโดยเด็ดขาด  เนื่องจากจะมีผลทำให้ดินอัดแน่นระบบรากต้นไม้ซึ่งได้รับความกระทบกระเทือนอยู่แล้วจะได้รับอันตรายมากขึ้น  และต้นตายได้โดยง่าย


ควรปล่อยทิ้งไว้ประมาณ  2  วัน  จนหน้าดินแห้งก่อน  จากนั้นให้ใช้ปุ๋ยทางใบและผสมกับสารเคมีต่างๆ  ฉีดพ่นให้กับต้นไม้ผลตามสัดส่วน ต่อน้ำ  20  ลิตร  ดังต่อไปนี้
1. ปุ๋ยทางใบ  อัตราส่วนของ  N-P-K   ประมาณ  3:1:2  เช่น  15-5-10  หรือ  4:1:3  เช่น  20-5-15  หรือที่มีสูตรใกล้เคียงกัน  ปริมาณ  30-40  กรัม
2. ธาตุอาหารย่อย (trace  elements)  5  กรัม
3. น้ำตาลทรายขาว  1  เปอร์เซ็นต์ (น้ำตาล  200  กรัม)
4.
Lif
สารป้องกันกำจัดเชื้อรา  เช่น  คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์  หรือแมนโคเซ็บ  ฯลฯ  ดำเนินการฉีดพ่นให้กับต้นไม้ผล  2-3  ครั้ง  ห่างกันประมาณ  3  วัน  ต่อครั้ง  เพื่อฟื้นคืนสภาพต้นโดยเร็ว เมื่อต้นไม้ผลมีการผลิยอดอ่อนขึ้นมาใหม่จนสามารถเจริญเติบโตกระทั่งใบแก่สมบูรณ์แล้ว  จึงจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความอยู่รอดของต้นไม้นั้นได้

ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาใบอ่อนชุดนี้ให้สมบูรณ์และปลอดภัยจากการเข้าทำลายของศัตรูพืชต่างๆ  ในระยะใบอ่อนนี้  มิฉะนั้นแล้วต้นอาจตายได้โดยง่าย  หากต้นมีการออกดอกและติดผลตามมาในระยะนี้  ให้กำจัดออกให้หมดเพื่อรักษาต้นแม่ไว้  เนื่องจากต้นไม้ผลจำเป็นที่จะต้องฟื้นคืนสภาพจากสภาวะน้ำท่วมขังให้มีความสมบูรณ์ดังเดิมก่อน

คำเตือน  ไม้ผลที่อยู่ในสภาพของน้ำท่วมขัง  ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นหรือยาวก็ย่อมเป็นผลเสียหายทั้งสิ้น  พืชแต่ละชนิดหรือเป็นชนิดเดียวกันหรือพันธุ์เดียวกันก็ตาม  ความสามารถทนต่อสภาพน้ำท่วมขังก็ย่อมแตกต่างกันออกไป  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ  ซึ่งอาจสรุปได้  ดังนี้


1.  ธรรมชาติหรือชนิดของไม้ผล   ไม้ผลแต่ละชนิดหรือแต่ละพันธุ์มีความทนทานต่อสภาวะน้ำท่วมขังได้ไม่เท่ากัน  บางชนิดอาจอ่อนแออย่างมาก  เช่น  ขนุน  จำปาดะ  มะละกอ  กล้วย  ทุเรียน  ในขณะที่บางชนิดสามารถทนทานได้มากกว่า  เช่น  มะขาม  ส้มโอ  มะกอกน้ำ  มะพร้าว เป็นต้น

2.  ความสมบูรณ์หรือความแข็งแรงของต้น   สำหรับไม้ผลที่มีการดูแลรักษา  มีความสมบูรณ์ดี  มีอาหารสะสมในต้นอยู่สูงในระยะก่อนถูกน้ำท่วมขัง  จะมีความสามารถอยู่ได้นานมากกว่า  ต้นไม้ผลที่มีการติดผลดกมากและภายหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีอาหารสะสมในต้นต่ำมาก  หากถูกน้ำท่วมขังจะตายไปในระยะเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับต้นที่สมบูรณ์กว่าในแปลงเดียวกัน

3.  ระยะของการเจริญเติบโต   ช่วงระยะที่มีการผลิใบอ่อน  โดยเฉพาะในระยะใบพวง (เป็นระยะที่แผ่นใบขยายเต็มที่แล้ว  แต่ใบยังมีลักษณะที่อ่อนนุ่ม)  ต้นจะมีความอ่อนแอมากที่สุด  เนื่องจากต้นได้นำเอาอาหารสะสมจากรากไปใช้ในการสร้างใบ  ทั้งนี้  เพราะใบเป็นส่วนที่มีการใช้อาหารมากที่สุดในขณะที่ถูกน้ำท่วมขัง  ดังนั้น  การตัดแต่งกิ่งให้มีจำนวนใบลดน้อยลงในช่วงก่อนน้ำท่วมขังก็ย่อมสามารถที่จะช่วยยืดอายุต้นไปได้

4.  อายุของต้นไม้   สำหรับไม้ผลที่มีอายุน้อยหรือมีพุ่มต้นขนาดเล็กจะมีความทนทานได้น้อยกว่า  นอกจากนี้  ระดับความสูงของน้ำที่ท่วมขังก็มีบทบาทที่สำคัญด้วย  หากส่วนของใบอยู่ใต้น้ำแล้วก็จะตายได้โดยง่าย

5.  สภาพแวดล้อมที่ถูกน้ำท่วมขัง   อุณหภูมิ  ความเร็วลม  รวมทั้งสภาพของน้ำที่ท่วมขังก็เป็นส่วนประกอบร่วมด้วยอุณหภูมิสูง  ลมพัดจัดและน้ำนิ่งย่อมทำให้ความอยู่รอดของต้นไม้ผลสั้นลง  ต้นที่ถูกลมพัดโยกคลอนมักมีโอกาสตายสูง







ข้อมูลอ้างอิง  :   https://www.technologychaoban.com

โพสต์โดย : POK@