Social :



เทคนิคการปลูก และดูแล กล้วยน้ำว้า

10 มิ.ย. 62 11:06
เทคนิคการปลูก และดูแล กล้วยน้ำว้า

เทคนิคการปลูก และดูแล กล้วยน้ำว้า

เทคนิคการปลูก  และดูแล  กล้วยน้ำว้า  

กล้วยน้ำว้า   (Klui Namwa) จัดเป็นกล้วยพื้นเมืองที่พบได้ทั่วไปในทุกภาค  เป็นกล้วยที่นิยมปลูกไว้ในทุกครัวเรือนเพื่อการรับประทานผลสุก และแปรรูปผลดิบ  รวมถึงการนำส่วนต่างๆ  มาใช้ประโยชน์  โดยเฉพาะใบตองที่ใช้สำหรับห่ออาหารหรือประกอบอาหาร  ปลีกล้วย  และหยวกกล้วยสำหรับนำมาปรุงอาหาร


กล้วยน้ำว้า  เป็นกล้วยที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ของกล้วยป่า  2  ชนิด  ได้แก่
1. Musa  acuminate
2. Musa  balbisaina

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก และลำต้นกล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้า  เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว  มีลำต้นสูง  3.0- 4.5  เมตร  ลำต้นแท้จะเป็นส่วนหัว/เหง้าที่อยู่เหนือดินเล็กน้อย  หรือ ฝังอยู่ใต้ดิน  เหง้ากล้วยน้ำว้าสามารถแตกหน่อแยกเป็นต้นใหม่ได้ ส่วนลำต้นเหนือดินที่เป็นลำต้นเทียมประกอบด้วยกาบใบ  และใบ  โดยกาบใบจะแทงออกจากเหง้าเรียงซ้อนกันแน่นเป็นวงกลมจนกลายเป็นลำต้นตามที่มองเห็น  แผ่นกาบด้านนอกที่มองเห็นจะมีสีเขียว และมีสีดำประเล็กน้อย กาบใบเป็นแผ่นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม โดยมีแกนกลางเป็นกาบอ่อนเรียงซ้อนกัน  แต่เมื่อกล้วยออกปลี/ดอก  แกนกลางจะกลายเป็นแก่นกล้วยแทน ขนาดของลำต้นเทียมประมาณ  15-25  ซม.

ส่วนรากล้วยจะมีเพียงระบบรากแขนงที่แตกออกจากเหง้ากล้วย  รากแขนงนี้มีลักษณะเป็นเปลือกหุ้มสีดำ  แก่นรากมีสีขาว  ขนาดของรากประมาณ 0.5-1  ซม.  หรือขนาดประมาณเท่านิ้วก้อย

ใบกล้วย/ใบตอง
ใบกล้วยเป็นส่วนที่ถัดจากกาบกล้วย  ประกอบด้วยส่วนก้านใบ  และใบ  ก้านใบมีความยาวประมาณ  0.5-1  เมตร  ถัดมาจะเป็นส่วนใบ  หรือเรียก  ใบตอง  ซึ่งเป็นแผ่นเดียวกัน  ซ้าย-ขวา  ที่ถอดยาวไปจนถึงปลายใบยาว  1.5-2  เมตร  แผ่นใบหรือใบตองที่เป็นยอดอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน  และตั้งตรง  เมื่อแก่จะมีสีเขียวสด  และก้านใบโน้มลงด้านล่าง แผ่นใบมีลักษณะเรียบ แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวสด  และเป็นมัน  ส่วนแผ่นใบด้านล่างมีสีเขียวอมเทา  ความยาวของแผ่นใบแต่ละข้างจะยาวเท่ากันประมาณ  25-30  ซม.

ดอก  และผลกล้วยน้ำว้า
ดอกกล้วยจะแทงออกที่ปลายยอด มีลักษณะเป็นช่อห้อยลง เรียกว่า เครือกล้วย โดยเครือกล้วยประกอบด้วยใบประดับสีแดงหุ้มดอกไว้ เรียกว่า ปลีกล้วย มีลักษณะค่อนข้างป้อมเมื่อเทียบกับปลีกล้วยชนิดอื่น ใบประดับส่วนปลายม้วนงอ แผ่นใบประดับด้านนอกบริเวณส่วนบนมีสีแดงม่วง ส่วนล่างมีสีแดง แผ่นใบประดับด้านในมีสีครีม ส่วนดอกที่อยู่ด้านในจะมีหลายดอกย่อยเรียงซ้อนกันเป็นแผง เรียกว่า หวี โดยกล้วยน้ำว้า 1 เครือ จะมีหวีกล้วยประมาณ 7-12 หวี แต่ละหวี มีผลกล้วยประมาณ 10-16 ผล

ผลกล้วยจะเจริญจากดอก  ผลอ่อนมีลักษณะเปลือกผลสีเขียว  และเป็นเหลี่ยม  ผลห่ามจะมีเหลี่ยมน้อยหรืออวบกลม  ไม่มีเหลี่ยม  และจะมีสีเขียวอมเทา ส่วนผลสุก  เปลือกผลจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

เนื้อกล้วยที่ถัดจากเปลือกผล  เมื่อยังอ่อนจะมีสีขาว  เนื้อแน่นเหนียว  แต่หากสุกจะมีสีเหลืองอ่อน  เนื้อสุกมีลักษณะอ่อนนุ่ม  ให้รสหวาน  แต่ไม่ส่งกลิ่นหอมเหมือนกล้วยชนิดอื่น  เช่น  กล้วยหอม


1. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  เป็นวิธีเพิ่มจำนวนกล้าพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว  แต่เป็นวิธีที่นิยมใช้ในบางกลุ่มเท่านั้น  โดยเฉพาะเกษตรกรหรือบริษัทที่ต้องการเหง้าพันธุ์จำนวนมาก  ทั้งนี้  เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ต้องการปลูกในพื้นที่ไม่มากจะนิยมปลูกจากเหง้าพันธุ์ที่ขุดจากกอกล้วยเป็นหลัก

2. การแยกหน่อหรือเหง้าปลูก
การแยกหน่อหรือเหง้าปลูก  เป็นวิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ  และปัจจุบันยังเป็นที่นิยมของเกษตรกร  ซึ่งเกษตรอาจหาซื้อเหง้าพันธุ์จากแปลงเกษตรกรอื่นที่ปลูกกล้วยอยู่แล้วหรือขุดเหง้าพันธุ์จากแปลงตัวเองออกขยายปลูกเป็นกอใหม่


กล้วยน้ำว้าเป็นพืชที่ปลูกง่าย  เจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน แต่ชอบดินร่วน มีอินทรีย์วัตถุ  และความชื้นสูง  ระบายน้ำดี  ไม่ชอบน้ำขัง  หลังจากการปลูกกล้วยน้ำว้าแล้วจะให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่อปลูกได้  8-10  เดือน  และสามารถแตกหน่อเติบโตให้ผลผลิตทั้งปี
การเตรียมแปลง และหลุมปลูก
– พื้นที่ใช้ปลูกหรือแปลงปลูกควรไถพรวนดิน และตากดิน นาน 1-2 อาทิตย์ และกำจัดวัชพืชก่อนปลูก หากปลูกเพียงไม่กี่ต้นให้เตรียมได้เลย
– วางแนว และขุดหลุมปลูกในระยะ 4×4เมตร หรือมากกว่า หากที่ระยะถี่กว่านี้จะทำให้ต้นที่แตกใหม่เบียดกันแน่นในปีที่ 2 ขึ้นไป
– ขุดหลุมปลูกกว้าง x ยาว x ลึก  ที่  50x50x50  ซม.  หรือเกือบ  2  ไม้บรรทัด
– กลบหรือโรยปุ๋ยคอก  อัตรา  2-3  กก./หลุม  ปุ๋ยยูเรีย  อัตรา  50-100  กรัม/หลุม  พร้อมปรับดินผสมดินให้สูงประมาณครึ่งหนึ่งของหลุม
– คลุกผสมดินกับปุ๋ยให้เข้ากัน

นำต้นพันธุ์ลงหลุมปลูก  และกลบดินต่ำกว่าผิวดินประมาณ  10  ซม.  สำหรับให้น้ำขัง  และสำหรับการใส่ปุ๋ยในครั้งต่อไป

การให้น้ำ
การปลูกล้วยน้ำว้า  หรือการปลูกกล้วยโดยทั่วไปเกษตรกรจะปล่อยให้ได้รับน้ำจากน้ำฝน  แต่หากพื้นที่ปลูกมีสภาพแห้งแล้งจัด  และมีระบบชลประทานเข้าถึง  เกษตรมักจะสูบน้ำเข้าแปลงเป็นระยะ  โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง


การใส่ปุ๋ย  แบ่งเป็น  3  ระยะ  คือ
– ระยะเตรียมหลุมปลูก ด้วยการรองพื้นด้วยปุ๋ยคอก  อัตรา  2-3  กก./หลุม  ปุ๋ยยูเรีย  อัตรา  50-100  กรัม/หลุม  หรือประมาณ  1-2  กำมือ
– ปุ๋ยคอก หลังการปลูกประมาณ  1-3  เดือนแรก  ควรให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักบริเวณโคนต้น  อัตรา  2-3
MulticollaC
กก./หลุม  ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร  15-15-15 อัตรา 100-200 กรัม/หลุม
– ปุ๋ยเคมี  ระยะหลังปลูกเดือนที่  5  และ  7  หรือระยะก่อนออกปลี  ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร  12-24-24  อัตรา  100-200  กรัม/หลุม  โดยการหว่านรอบๆกอ

การตัดต้น และไว้หน่อ
การไว้หน่อจะไว้หน่อเพื่อให้เจริญเติบโตเป็นต้น ซึ่งกล้วย 1 กอหรือ 1 หลุม ให้ไว้หน่อหรือต้น 4 ต้น เท่านั้น ด้วยวิธี ดังนี้
– หน่อแรกที่ขึ้นหลังจากการปลูกต้นแรกให้ปล่อยไว้ไม่ตัด
– หน่อที่ขึ้นต่อมาในระยะ  1-2  เดือน  หลังจากการปล่อยหน่อแรกแล้ว  ให้ตัดทิ้ง
– เมื่อหน่อแรกอายุครบ  3  เดือน  ให้ปล่อยหน่อที่  2  ขึ้น  ส่วนหน่ออื่นๆตัดทิ้ง
– ทำในลักษณะเดียวกัน  ซึ่งจะได้หน่อ  และต้นทั้งหมดใน 1 กอ ประมาณ  4  ต้น/ปี  จนถึงการตัดเครือกล้วยจากต้นแรก  ซึ่งจะทำให้มีหน่อหรือต้นเหลือ 3 ต้น/กอ

การเก็บปลี  และผลกล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้าที่ปลูกจากหน่อจะเริ่มออกปลีหรือดอกเมื่อมีอายุหลังการปลูกประมาณ  8  เดือน  หลังจากแทงปลีจนสุดแล้วจะเหลือส่วนปลายของดอกที่เรียกว่า  ปลีกล้วย  และมีระยะหลังการแทงดอก/ปลีกล้วย  จนถึงดอกกล้วยบานจนหมดจะใช้เวลาประมาณ  14  วัน

ปลีกล้วยน้ำว้าจะมีลักษณะเป็นกาบหุ้มดอกหรือใบประดับดอกที่สีแดง  หุ้มปกคลุมดอกไว้  โดยดอกที่เหลือจะเป็นดอกที่ไม่พัฒนาเป็นผล  ดังนั้น  การตัดปลีจะเริ่มตัดได้ เมื่อเห็นผลกล้วยของหวีสุดท้ายหรือที่เรียกว่า  หวีตีนเต่า แล้ว

หวีตีนเต่า  เป็นหวีที่มีผลกล้วยพัฒนาจนมีขนาดใกล้เคียงกัน  ซึ่งจะอยู่เหนือหวีกล้วยที่มีลักษณะผลเติบโตหรือพัฒนาไม่เท่ากัน  ผลมีขนาดเล็กไม่สม่ำเสมอ

การตัดปลีกล้วยน้ำว้า เกษตรกรจะตัดปลีออกตรงบริเวณข้อด้านล่างของหวีตีนเต่าหรือเหนือหวีกล้วยที่มีผลเติบโตไม่เท่ากันออก

เหตุผลการตัดปลีกล้วยน้ำว้า
– ป้องกันไม่ให้ปลีกล้วยบานต่อ  ซึ่งหากปลีกล้วยบานต่อจะเกิดการแย่งอาหารจากผลกล้วยด้านบน
– ป้องกันไม่ให้ผลกล้วยในหวีที่มีผลขนาดเล็กเจริญต่อ  ทำให้สารอาหารถูกส่งไปเลี้ยงเฉพาะปลีกล้วยที่มีผลเติบโตสม่ำเสมอ
– เพื่อนำปลีกล้วยไปประกอบอาหารหรือเพื่อการจำหน่าย  ซึ่งอาจเป็นผลพลอยได้จากการป้องกันปลีกล้วยบานหรือเป็นวัตถุประสงค์หลักสำหรับนำมาประกอบอาหารหรือการจำหน่าย

การเก็บผลดิบจะเก็บในขณะที่ยังเห็นเหลี่ยมของผลชัดเจน  ซึ่งระยะนี้กล้วยจะแก่ประมาณ  75%  ระยะนี้เหมาะสำหรับการนำกล้วยดิบไปแปรรูป  หรือส่งออกต่างประเทศ

หลังการตัดปลีแล้ว กล้วยจะเริ่มแก่เต็มที่ และเริ่มสุกภายในเวลาประมาณ  70-80  วัน  การเก็บกล้วยก่อนระยะสุก  จะเก็บเมื่อผลอวบ  ไม่มีเหลี่ยม  เป็นระยะสำหรับเก็บจำหน่ายในประเทศเพื่อรับประทานผลสุก ซึ่งผลจะสุกเหลืองภายใน  3-7  วัน

การตัดเครือกล้วยจะใช้วิธีตัดต้นกล้วย  ให้ค่อยๆล้มลงแล้วจึงตัดเครือออก  การตัดเครือควรตัดที่ต้นเครือหรือให้เครือยาวประมาณ  20-30  ซม.


ระยะที่ 1  ผลแข็ง เป็นเหลี่ยมชัดเจน  เปลือกสีเขียว  ทิ้งไว้จะไม่สุก
ระยะที่ 2  ผิวเปลือกเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวออกเหลืองเล็กน้อย
ระยะที่ 3  ผิวเปลือกเปลี่ยนสีเป็นเหลืองมากขึ้น  แต่ยังมีสีเขียวมากกว่า
ระยะที่ 4  ผิวเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองมากขึ้น  และมีสีเหลืองมากกว่าสีเขียว
ระยะที่ 5  ผิวเปลือกบริเวณต้นผลเป็นสีเหลือง  ส่วนปลายผลเป็นสีเขียว
ระยะที่ 6  ผิวเปลือกทั่วผลจะมีสีเหลืองทั้งหมด  เป็นระยะผลสุกพอดี  แต่ยังไม่มีกลิ่น
ระยะที่ 7  ผิวเปลือกมีสีเหลือง  และเริ่มมีจุดสีดำหรือน้ำตาล เป็นระยะผลสุกเต็มที่ และเริ่มมีกลิ่นหอม
ระยะที่ 8  ผิวเปลือกมีสีเหลือง  และมีสีดำหรือน้ำตาลกระจายทั่วผล  เป็นระยะที่ผลสุกมากเกินไป  เนื้อกล้วยจะอ่อนนิ่ม  มีกลิ่นแรง  และจะเริ่มเน่าภายใน  2-3  วัน

1. โรคตายพราย เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา มักเกิดกับกล้วยที่ปลูกได้  3-4  เดือน  ลักษณะจะพบใบล่างหรือใบแก่จะมีสีเหลืองบริเวณใบ  และเหี่ยวแห้งตาย
2. โรครากเน่า  เกิดจากเชื้อรา  phytophthora หรือ  sclerotium  โดยจะเกิดใบเหลืองซีด  และใบม้วนงอเมื่อถูกแดดจัด  ใบและก้านใบเหี่ยวแห้งตาย  ผลจะมีสีเหลืองคล้ายผลสุก และร่วงง่าย เมื่อขุดโคนต้นจะพบรากฝอยเน่า ถอดปลอก  และลุกลามทำให้หัวกล้วยเน่า  จนต้นล้มตาย
3. แมลงศัตรูต่างๆ  เช่น  ด้วงงวงไซเหง้า  และต้น  มวนร่างแห  ด้วงเต่าทอง  หนอนกระทู้  แมลงวันผลไม้  เป็นต้น 






ข้อมูลอ้างอิง  :   https://puechkaset.com/

โพสต์โดย : POK@