ทำความรู้จักกับประโยชน์ และวิธีการปลูก ดองดึง
ทำความรู้จักกับประโยชน์
และวิธีการปลูก ดองดึง
ดองดึง (Climbing lily) จัดเป็นไม้ป่าที่พบในหลายทวีป ซึ่งนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับชนิดหนึ่ง รวมถึงเป็นพรรณไม้สำคัญที่มีบทบาทในการทางการแพทย์ และการเกษตร โดยเฉพาะ
สาร Superbine หรือ
Colchicine ที่มีคุณสมบัติทางยามากมาย แต่สารชนิดนี้ จัดเป็นสารพิษที่หากได้รับมากอาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
พืชที่อยู่ในสกุลเดียวกับ ดองดึง (Genus : Gloriosa) ทั่วโลกพบประมาณ 7 ชนิด โดย 6 ชนิดพบได้ในทวีปแอฟริกา และมีเพียงชนิดเดียวที่พบในทวีปเอเชีย คือ ดองดึง (Species : Superba)
ดองดึงที่พบในทวีปเอเชีย พบได้ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว อินโดนีเซีย และประเทศอื่นใกล้เคียง ส่วนประเทศไทยสามารถพบดองดึงได้ในทุกภาค แต่จะพบมากในภาคตะวันออก ภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยเฉพาะตามป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก และลำต้น
ดองดึงเป็นไม้เถาเลื้อยที่มีลำต้น 2 ส่วน คือ ลำต้นใต้ดิน และลำต้นเหนือดิน โดยลำต้นใต้ดินมักเรียกว่า เหง้าหรือหัว ที่มีลักษณะรูปตัววีหรือรูปขวาน ซึ่งมีลักษณะทรงกระบอก 2 อัน หรือ 2 แง่ง มาเชื่อมต่อกัน หรือบางครั้งอาจพบ 2 หัว หรือ 4 แง่งก็ได้ เปลือกหัวบาง มีสีน้ำตาลอมแดง ส่วนเนื้อด้านในมีลักษณะเป็นแป้ง สีขาวนวล แข็งเล็กน้อย โดยบริเวณเชื่อมต่อของแงหรือที่พับเป็นตัววีจะมีตาที่เป็นจุดเติบโตของต้นอ่อนให้โผล่ขึ้นดิน ซึ่งหากบริเวณนี้หักออกเป็น 2 ท่อน ก็จะทำให้หัวไม่สามารถแทงยอดอ่อนได้ ส่วนลำต้นเหนือดิน เป็นส่วนที่ต่อมาจากเหง้าใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นเถาเลื้อยพาดตามต้นไม้หรือพุ่มไม้ที่พาดยาวได้มากกว่า 5 เมตร และมีขนาดเถาประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร
เถาของดองดึงมักแตกกิ่งที่ความสูงหรือความยาวของเถาประมาณ 60-100 เซนติเมตร จำนวนกิ่งแต่ละต้นประมาณ 3-8 กิ่ง แต่ละกิ่งจะมีช่วงห่างของข้อหรือจุดแตกใบประมาณ 1-3 เซนติเมตร
ส่วนระบบรากของดองดึงจะเฉพาะรากฝอยเพียงอย่างเดียวที่แตกออกจากโคนของลำต้น ซึ่งจะพบได้เฉพาะระยะต้นเติบโต แต่เมื่อต้นเหี่ยวแห้งตาย รากก็จะแห้ง และหลุดออกไป
ใบ
ใบดองดึงออกเป็นใบเดี่ยว ไม่มีก้านใบ ออกเรียงสลับกันตามข้อ ข้อละ 1-3 ใบ ตามความยาวของกิ่ง ส่วนข้อที่มีการแตกกิ่งจะมีใบประมาณ 3-4 ใบ และข้อที่มีดอกจะมีใบเพียงใบเดียว ใบแต่ละใบมีรูปหอก กว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร แผ่น และขอบใบเรียบ มีสีเขียวสด และเป็นมัน โคนใบสอบเล็กน้อย ปลายใบแหลมยาวที่เปลี่ยนรูปเป็นมือเกาะ ใบมีเส้นกลางใบมองเห็นได้ชัดเจน
ดอก
ดองดึงออกดอกเป็นดอกเดี่ยวๆ บริเวณซอกใบตามข้อบนกิ่ง ประกอบด้วยกลีบ จำนวน 6 กลีบ แต่ละกลีบเรียวยาว และชันขึ้น ยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ขอบกลีบดอกพลิ้วเป็นลูกคลื่น ปลายกลีบโค้งจรดเข้าหากัน แผ่นกลีบดอกของดอกอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน และดอกแก่ที่บานเต็มที่จะมีสีแดงสดจนถึงแดงเข้ม ซึ่งจะค่อยเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีแดงจนทั่วกลีบดอก และเมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว ก็จะค่อยเหี่ยว และโค้งลง
เกสรของดอกดองดึงจะประกอบดด้วยเกสรตัวผู้ที่อยู่แทรกสลับเรียงเป็นวงกลมกับกลีบดอก ซึ่งจะอยู่ด้านล่างของกลีบดอก จำนวนเกสร 6 อัน ที่มีก้านเกสรยาว 35- เซนติเมตร โคนก้านเกสรมีสีแดง ปลายก้านเกสรมีสีเหลือง และปลายสุดมีอับเรณูเป็นรูปทรงกระบอกตั้งฉากกับก้านเกสร ส่วนเกสรตัวเมียมีจำนวน 1 อัน ซึ่งอยู่ใจกลางของดอกด้านในถัดจากลีบดอก โดยมีปลายเกสรแยกเป็น 3 แฉก ส่วนรังไข่จะอยู่บริเวณฐานรองดอก โดยรังไข่มีห้อง 3 ห้อง
ทั้งนี้ ดองดึงจะออกดอกในช่วงปลายฤดูฝนในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ของทุกปี พร้อมติดฝักให้เห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม-มกราคม
ผล และเมล็ด
ผลดองดึง ลักษณะเป็นทรงกระบอก ขั้วผลสอบแหลม ปลายผลขยายใหญ่ และทู่มน ขนาดผลกว้างสุดประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร ผิวเปลือกไม่เรียบ และมีร่องหรือพูตามแนวยาวของผล 3 ร่อง/พู โดยผลดิบมีสีเขียวอ่อน ผลสุกมีสีเหลืองอมเขียว รูปขอบขนาน ถัดมาด้านในจะมีเมล็ดจำนวนมาก 30-50 เมล็ด/ฝัก ขึ้นอยู่กับขนาดฝัก แต่ละเมล็ดมีลักษณะทรงกลม และแข็ง เมล็ดอ่อนมีสีขาว และฉ่ำน้ำ เมล็ดแก่หรือสุกมีสีแดงอมส้ม ขนาดเมล็ด 2-3 มิลลิเมตร
1. ดองดึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับดอก ทั้งปลูกลงแปลง และปลูกในกระถาง เนื่องจากดอกมีลักษณะแปลก กลีบดอกมีสีแดงสวยงาม
2. หัวดองดึงนำมาบด และผสมกับน้ำใช้ฆ่าหนอนหรือแมลง
3. ทุกส่วนของดองดึงนำมาต้มน้ำ ก่อนนำไปฉีดพ่นในแปลงผัก สวนผลไม้ เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชหรือแมลงวันผลไม้เข้าทำลาย
4. ดองดึงในทุกส่วนมาสาระสำคัญที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์เซลล์ของพืช จึงถูกนำมาใช้สำหรับปรับปรุงพันธุ์พืชให้เกิดการกลายพันธุ์ที่แตกต่างไปจากพันธุ์เดิม ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ คือ นำสารสกัดหรือน้ำต้มจากดองดึง ทั้งส่วนหัว ใบ และเมล็ด ก่อนนำเมล็ดพันธุ์พืชลงแช่ก่อนปลูก
5. ทุกส่วนของดองดึงนำมาต้มน้ำ ก่อนนำไปกรอกสัตว์สำหรับถ่ายพยาธิ หรือใช้ทุกส่วนผสมกับหญ้าหรืออาหารหยาบให้สัตว์กิน
ดองดึงนิยมเพาะขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัว และการเพาะเมล็ด แต่ที่นิยมมากจะเป็นเพาะ และปลูกด้วยหัวเป็นหลัก เพราะสามารถเกิดต้นใหม่ได้เร็ว และมีอัตราการรอดสูงกว่าเมล็ด อีกทั้ง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด เพราะการปลูกด้วยเมล็ด ต้องใช้หัวที่มีอายุปลูกมาแล้วประมาณ 2-3 ปี จึงจะออกดอก และติดฝัก ทั้งนี้ การปลูกดองดึงสามารถปลูกได้ทั้งในแปลงดิน และในกระถาง
การเตรียมแปลงหรือดินปลูก
สำหรับการปลูกลงแปลงดิน ควรไถพรวน และกำจัดวัชพืชออกให้หมดก่อน หลังจากนั้น หว่านด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยเคมีรองพื้น ก่อนจะไถพรวนอีกครั้ง
ส่วนการปลูกในกระถางควรผสมดินกับวัสดุอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือแกลบดำ อัตราส่วนดินกับวัสดุอินทรีย์ที่ 1:2
การปลูกด้วยหัว
ในธรรมชาติ หัวดองดึงจะมีช่วงพักตัวในฤดูแล้ง ซึ่งช่วงนี้ลำต้นจะเหี่ยวแห้งตายแล้ว เหลือเพียงหัวอยู่ใต้ดิน และหัวจะแทงหน่อขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นฤดูฝน หลังจากได้รับน้ำฝน ดังนั้น การปลูกด้วยหัว ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนเป็นสำคัญ ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
หัวดองดึงที่นำมาปลูก ควรเลือกหัวที่มีขนาดใหญ่ และแต่ละหัวควรมีน้ำหนักตั้งแต่ 7-8 กรัมขึ้นไป และมีหน่อแทงออกจากตาหน่อแล้ว ซึ่งการใช้หัวลักษณะนี้จะได้ต้นใหม่ทุกหัว แต่หากใช้หัวที่มีน้ำหนักน้อย ตั้งแต่ 3 กรัม ลงมาจะไม่มีการงอกของต้นใหม่ หลังจากที่คัดเลือกหัวได้แล้ว ให้นำหัวปลูกลงหลุม หลุมละ 1-2 หัว ระยะห่างระหว่างหลุม 80-100 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว 1.5-2 เมตร พร้อมเกลี่ยดินกลบ ก่อนจะรดน้ำให้ชุ่ม
ทั้งนี้ หัวดองดึงที่ใช้ควรเก็บจากแปลงในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม และพักทิ้งไว้สักระยะ 2-3 เดือนก่อนปลูก เพื่อให้หัวอยู่ในระยะพักตัวก่อน
การเติบโตของหัว ในระยะแรกหลังจากหน่อแทงโผล่ดินแล้ว หัวดองดึงจะฝ่อลีบลง เพราะลำต้นดึงสารอาหารออกมาใช้ และหลังจากนั้น 5-6 เดือน จึงจะสร้างหัวใหม่ 1 หัวเท่าเดิม หรือสร้างหัวเพิ่มเป็น 2 หัว
การปลูกด้วยเมล็ด
เมล็ดดองดึงที่นำมาเพาะ ควรเลือกเมล็ดจากผลที่สุกที่เก็บได้จากลำต้นที่เหี่ยวแล้ว โดยเก็บผลมาพักทิ้งไว้ 2-3 เดือน เพื่อให้เมล็ดมีการฟักตัวก่อน หลังจากนั้น นำเมล็ดมาลอกเปลือกหุ้มเมล็ดออก ก่อนนำมาแช่น้ำนาน 3-5 ชั่วโมง หรือแช่ในน้ำอุ่น นาน 1 ชั่วโมง หรือแช่ในสารกระตุ้นการงอก เช่น จิบเบอเรลลิน หรือ ไธโอยูเรีย
การปลูกด้วยเมล็ดจะทำการเพาะในกระบะเพาะหรือถุงเพาะชำก่อน ซึ่งจะใช้วัสดุปลูกที่ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัดใส่ถุงเพาะ หลังจากนั้น นำเมล็ดลงกลบในถุง ถุงละ 1-2 เมล็ด ก่อนรดน้ำ หลังจากนั้น 7-10 วัน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อนให้เห็น แล้วค่อยดูแลจนต้นสูงได้ 15-20 เซนติเมตร ก่อนจะนำลงปลูกในแปลงดินหรือย้ายลงปลูกในกระถาง
การเก็บหัว
สำหรับการปลูกด้วยหัวหรือด้วยเมล็ด สามารถเริ่มเก็บหัวได้เมื่อปลูกแล้ว 8-10 เดือน คือ เก็บหลังจากที่ต้นเหี่ยวตายแล้วในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
โพสต์โดย : POK@