วอนสังคมพิจารณาข้อมูลรอบด้าน “ทีมวันนอร์”เจรจาฮามาสยอมปล่อย 22 ตัวประกันไทยราบรื่น
“ทีมวันนอร์”เจรจาฮามาสยอมปล่อย 22 ตัวประกันไทย แค่รอจังหวะเหมาะสม เกรงอาจถูกโจมตียืนยันทุกคนปลอดภัย ดูแลอย่างดี เชื่อไม่โกหก วอนสังคมพิจารณาข้อมูลรอบด้าน
นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาฯ แถลงข่าว เกี่ยวกับการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันคนไทย จากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล โดยนายอารีเพ็ญ กล่าวว่า ตนเองในฐานะเป็นที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะ ได้เดินทางไปพบตัวแทนที่ประเทศอิหร่าน โดยวันที่ 26 ตุลาคม 2566 ได้พบกับแกนนำของกลุ่มฮามาส และตัวแทนจากอิหร่าน แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งใช้เวลาพูดคุย 2 ชั่วโมง ซึ่งกลุ่มฮามาส เข้าใจว่า การมาครั้งนี้ มาในนาม ประธานรัฐสภาของประเทศไทย และความรู้สึกของมุสลิมด้วยกันเพื่อขอให้ปล่อยตัวคนไทย เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับสงครามครั้งนี้ กลุ่มฮามาสได้บอกว่า ตัวประกันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่เดือดร้อน แต่ไม่สามารถกำหนดวัน-เวลา ที่จะปล่อยตัวได้ เนื่องจากอาจเกิดเหตุอันตราย จากการโจมตีของอิสราเอลขึ้นได้ โดยกลุ่มฮามาสหวังอยากให้ตัวประกันเหล่านี้ บอกกับสังคมโลกว่าอยู่กับฮามาสโหดร้ายจริงหรือไม่ จึงพยายามเพื่อให้คนไทยอยู่อย่างปลอดภัยและกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
ทั้งนี้ ได้มอบรายชื่อให้คนไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันแล้วทั้ง 22 คน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการยืนยันกับทางการอิหร่านว่ารายชื่อตรงกันหรือไม่
จากนั้น เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ได้เข้าพบกับ “อยาตุเลาะ อัดตารี” ที่ปรึกษาประธานาธิบดีและ ประธานสมัชชาองค์กรปาเลสไตน์ แห่งสำนักประธานาธิบดีอิหร่าน , ดร.ระมีฮียาน เลขาธิการใหญ่องค์การช่วยเหลือประชาชาติปาเลสไตน์แห่งชาติ , ดร.รูวัยรอน ประธานสมาพันธ์ พิทักษ์เยาวชนปาเลสไตน์ และต่อต้านอิสราเอลแห่งชาติ ที่ใช้เวลาพูดคุย 3 ชั่วโมง ซึ่งได้มีการรับปากว่า จะให้ความช่วยเหลือ เพราะประเทศไทยมีคุณอนันต์ต่อมุสลิมทั่วโลกที่อยู่ประเทศไทย และประเทศอิหร่านก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย
นอกจากนี้ ทราบว่า มีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อประธานาธิบดีอิหร่าน จากนั้น ได้มีหนังสือไปยัง บุคคลสำคัญของอิหร่าน 4 คน พร้อมกับประสานไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านและได้เข้าพบกับหัวหน้าของกลุ่มฮามาส แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดของการพูดคุย
นายอารีเพ็ญ ยังเล่าอีกว่า อยากให้คนไทยเข้าใจว่า ปาเลสไตน์ ต่อสู้มายาวนาน และคนทั่วโลกไม่ให้ความสนใจ พร้อมยอมรับว่า ไม่ได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เนื่องจากคลื่นโทรศัพท์ หากมีการใช้ ก็จะมีการยิงระเบิดเข้าทันที ซึ่งทางกลุ่มฮามาสได้เชิญเราให้เข้าไปพบตัวประกันแต่เราไม่เข้าไป เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย
ส่วนกรอบเวลาที่จะปล่อยตัว คาดว่าจะเร็วที่สุด เพราะความปลอดภัยของภาวะสงคราม ถ้าบอกว่าจะปล่อยเมื่อไหร่ ระเบิดจะลงทันที และอาจทำให้สังคมโลกมองว่า กลุ่มฮามาสทำร้ายตัวประกัน แต่ตนคิดว่า การปล่อยตัวประกันคงไม่นานเกินรอ ซึ่งคณะประสานงานของประธานรัฐสภา ก็ได้มีประจำการอยู่ที่ประเทศอิหร่าน 1 คน เพื่อคอยประสานงาน หากมีการปล่อยตัวคนไทยออกมา ประธานรัฐสภา ก็จะเดินทางมารับด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากปล่อยตัวที่ประเทศอิหร่าน ก็จะเป็นการสะดวกในการเดินทาง
พร้อมย้ำว่า การทำหน้าที่ในครั้งนี้ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตาใคร แต่เป็นการช่วยเหลือตามศักยภาพ ซึ่งการเดินทางไปประเทศอิหร่านนั้น เพราะประเทศอิหร่านเป็นผู้มีอิทธิพลต่อกระบวนการฮามาส และเป็นแหล่งสำคัญที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส เมื่อคนที่มีบุญคุณใหญ่หลวงขออะไรไป ก็น่าจะไม่ปฏิเสธ
ขณะเดียวกัน มีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ฮามาสพูด คือ ความจริง เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปพูดคุยกับกลุ่มฮามาสอย่างเป็นทางการ ถ้าหากคนไทยได้ปล่อยตัว ก็เป็นผลงานของคนไทยทั้งหมด ไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายรัฐบาลในการทำหน้าที่ เราทำหน้าที่ในตัวแทนประธานรัฐสภาเท่านั้น ที่เข้าไปพูดคุยโดยตรง
ขณะที่นายมุข กล่าวว่า เราต้องให้เกียรติ กลุ่มฮามาสว่าพูดความจริง เพราะถ้าจะมาพูดอย่าง ทำอย่าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เข้าพบตั้งแต่แรก ดังนั้น การให้เข้าพบก็แสดงว่ายินดีรับและพร้อมที่จะพูดความจริง นั่นคือตัวประกันคนไทย อยู่ในความปลอดภัยดีแล้ว เราก็ต้องเชื่อในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และ นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ที่ต้องยึดมั่นในศาสนา จึงจะไม่พูดโกหก พร้อมฝากสื่อและประชาชนเพราะมีการพูดโจมตีฮามาส ปาเลสไตน์ และอิหร่าน จึงอยากให้ฟังหลายฝ่ายเพื่อวิเคราะห์ความเป็นจริงว่า เป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถยืนยันได้ 1,000 % หรือ 10,000 เปอร์เซ็นต์ แต่ตนเชื่อว่า เมื่อวันที่คนไทยกลับมาปลอดภัย ทั้งหมดคือคำตอบ และให้สังคมพิจารณาว่า คณะพูดคุยเดินทางถูกต้องแล้วหรือไม่ แต่ถ้าท้ายที่สุดคนไทยไม่ถูกปล่อยตัว ก็จะได้รู้ว่าที่ทำมาไร้ผลและไม่ถูกต้อง ขณะที่นายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ดำเนินการอีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่สำคัญ ท้ายที่สุด คือ การนำคนไทยกลับมาเท่านั้นเอง
ขอบขอบคุณข้อมูลจาก:innnews
โพสต์โดย : monnyboy