ไม่ทนแล้ว! ‘ครูอนุชิต’ตัดสินใจลาออกราชการ โอดปัญหาสะสมนาน7ปี
เรียกได้ว่ากำลังเป็นเรื่องราวที่ใครหลายคนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กับอาชีพข้าราชการครู ภายหลังจากมีหนุ่มรายหนึ่ง ออกมาเปิดโปงด้านมืดของการรับราชการไทย ที่มีเรื่องโกงเงิน แต่เมื่อจับได้ ก็ทำเป็นไม่รับรู้และปล่อยผ่าน ทั้งนี้ เขาต้องทนเรื่องต่างๆมากมายยาวนานกว่า 7 ปี
โดยเจ้าของเรื่องราวออกมาเขียนโพสต์ร่ายยาวว่า “อนุชิตไม่เหมาะกับการเป็นข้าราชการครูแล้วครับ (อ่านให้จบกันก่อนนะ ละจะเข้าใจอนุชิตมากขึ้นครับ) เกือบ 7 ปีที่ได้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการครู วันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว อนุชิต จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการครู ณ ที่แห่งนี้ xxxxxxx อีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ การตัดสินใจครั้งนี้ อนุชิตคิดมันมานานมาก คนสนิทชิดเชื้อ คนใกล้ตัว จะรู้ดีว่า อนุชิตอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนขนาดไหน แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จังหวะ โอกาส ไม่เป็นใจสักรอบ จนครั้งนี้ ทุกอย่างค่อนข้างปูทาง จบ ป.โท ตามเวลาที่หวัง ขออนุญาตครอบครัวในการลาออกจากราชการก็สมหวัง ทำเอกสารยื่นวีซ่า ผลตรวจสุขภาพ จนกระทั่งการรอผลวีซ่า (แม้จะเป็นช่วงเวลา 1 เดือนที่ทรมาน) ทุกอย่างก็ราบรื่นหมด
คือ…อนุชิต ไม่สนุกกับการสอนหนังสือแล้วอะครับ ยิ่งช่วงปีนี้ เป็นปีที่กลับไปทบทวนตัวเองเวลาอยู่ห้องคนเดียวบ่อยมาก ว่า อืม เราไม่เหมือนเดิม เราไม่สนุกกับการสอน ไม่เหมือนก่อน เราไม่เอ็นจอยแล้ว อีกทั้ง เหนื่อยหน่ายกับระบบ ที่ต้องก้มหัวทำตาม เรียกร้องอะไรเบาๆ เขาก็แทบไม่สนใจ ต้องเล่นใหญ่ใจโตตลอด ทุกคนก็คงเห็นความแรงของเราเวลา complain โรงเรียนลงโซเชียล
เราเบื่อที่เราตั้งใจสอน เราพยายามสอน แต่ผลประเมินเงินเดือนครั้งนึง ของเราออกมาน้อยจนน่าเกลียด เราได้ 2.25% ซึ่งโครตแย่ บันทึกขอดูคะแนน ก็ไม่ให้ดู เหอะๆ ก็ได้แต่มานั่งคิดทบทวน บทบาทการเป็นครูของเรามันต่างกับคนที่ได้ 3.xx% ขนาดนั้นเชียวหรือ เราสอนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ มันฝังใจเรามาก และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราบอกตัวเองเสมอว่า ถ้ามีโอกาสลาออก เราจะออกเท่านั้น เราพอแล้วกับระบบนี้ แล้วเราก็เบื่อที่ต้อง make เอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการสอน plc แผนพอเพียง pa วิจัย
sar บลาๆ เรารู้สึกว่าเสียเวลา และเปล่าประโยชน์ (เป็นความรู้สึกจากเราเองไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ)
ละก็ อีกอย่างที่เป็นจุดพีคสุด เราคิดว่าเป็นที่นิสัยของเรา ที่ไม่ชอบเห็นอะไรที่มันไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เรื่องที่แรงมากๆ และฝังใจสุดๆ คือวันที่เราจับโจรในคราบครู ได้ว่าโกงเงินนักเรียน 50,000 บาท ตอนนั้นเราทำเรื่องคนเดียวเงียบๆ มีคนให้การสนับสนุนเราเพียงแค่ไม่กี่คน และพอหลักฐานชัดเจน จับได้คาหนังคาเขา มีคนคนนึง บอกว่าเราทำเกินไป เรากำลังจะฆ่าเขาเพียงแค่เราบีบมือเขาก็ตายคามือเราแล้ว คำถามที่เราถามกลับเขาไปคือ แล้วก่อนหน้านี้ที่เขาค่อยๆ เอามีดบาดเราที่ละนิดๆ แต่เราก็ทนพิษบาทแผลได้ ตอนนั้น ใครสนใจเราหรอ? แล้ว นร. ที่ถูกกระทำคุณไม่ห่วง ไม่เห็นใจ เขาบ้างหรอ? ละความพีคสุดคือโทษนางแค่ลดเงินเดือน 3 เดือนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ควรโดนให้ออกจากราชการไหม? ตอนนั้นช่วงที่ทำเรื่องคือแบบ เครียด เพราะเพื่อนรอบข้างที่รู้เรื่องก็กลัวชีวิตเราจะไม่ปลอดภัย ไม่โอเคสุดๆ สุดแบบเออ ถึงขั้นส่งอีเมลไปให้เพื่อนสนิท บอกว่า ถ้าเกิดตายไปช่วยสานต่อเรื่องนี้ให้ด้วย เหอะๆ
สุดท้ายได้แต่มาน้่งบอกกับตัวเองว่า ขอเหอะ ขอวันนึง ไทม์มิ่งชีวิตสวยๆ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับระบบ นี้อีกเลย พอแล้ว พอกันที ก็นั้นแหละ ระบบที่มันไม่โอเค ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ก็ขอถอยออกมาดีกว่า จากที่มีความสุขกับการสอน มีความสุขเวลาอยู่กับนักเรียน เหลือแค่มีความสุขเวลาอยู่เล่นนอกเวลากับนักเรียนอย่างเดียว ดังนั้น ควรเปิดทางให้คนที่ อยาก จะเป็นข้าราชการครูจริงๆ และยอมรับระบบนี้ได้ ได้เข้ามาเป็นครูแทนเราดีกว่า ส่วนตัวเราก็ไปเดินตามความฝันตามทางที่เราวางไว้ บายครับราชการครู บายครับxxxxxx ยื่นพรุ่งนี้ละ เย้!”
อย่างไรก็ตามจากโพสต์ดังกล่าว ทำเอาหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก และส่งกำลังใจให้ครูอนุชิตล้นหลาม และยินดีกับหนุ่มเจ้าของเรื่องราวที่ได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองเลือก…
ขอบคุณที่มา ข่าวเดลินิวส์
โพสต์โดย : ปลายน้ำ